วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สระบุรี ชาวบ้าน ต.หนองย่างเสือ ร้องกลุ่มนายทุนบุกรุกป่า ฯ



           ชาวบ้าน ต.หนองย่างเสือ สระบุรี ร้องกลุ่มนายทุนบุกรุกป่าใช้สื่อบางแขนงบิดเบือนข่าว หลังตัดต่อภาพและ การให้สัมภาษณ์ ของชาวบ้าน ทำให้เกิดความหวาดระแวงกันเองระหว่างชาวบ้าน คาดอาจเกิดจากกลุ่มนายทุนหวังใช้ข้อขัดแย้งของชาวบ้านเป็นเครื่องมือ โจมตีเจ้าหน้าที่รัฐที่ เข้าปกป้องทวงคืนผืนป่า ทำให้กลุ่มเสียผลประโยชน์จำนวนมหาศาล






           เมื่อ 12 ธ.ค. 57 ทีมข่าวได้รับเรื่องร้องเรียน จากชาวบ้าน หมู่ 14 ต.หนองย่างเสือ อ.มวกเหล็ก  จ.สระบุรีจึงได้เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นทราบว่า เป็นการขัดแย้งเรื่องที่ทำกิน ระหว่างชาวบ้านในพื้นที่ หมู่ 14 ที่เคยให้หน่วยงานของรัฐใช้พื้นที่เป็นพื้นที่เพราะกล้าไม้เพื่อใช้ปลูกป่าเสื่อมโทรม ตั้งแต่ พ.ศ.2521โดยนายสุนันท์  จันทร์เขียว  อายุ 58 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 14 บ้านปางหัวช้าง และนางสุวรรณ  จันทร์เขียว ภรรยา บ้านเลขที่ 1 หมู่ 14 ต.หนองย่างเสือได้ยอมรับว่าเป็นผู้ที่เคยให้สัมภาษณ์และเป็นบุคคลในข่าวก่อนหน้านี้ยืนยันว่าเป็นการเสนอข่าวไม่ตรงตามข้อเท็จจริงและภาพที่ออกมาเป็นคนละพื้นที่กันกับพื้นที่มีการขัดแย้งกันอยู่และเป็นการนำเสนอข่าวเพื่อโยงไปให้ ถึงหัวหน้าสวนป่า สำนักอนุรักษ์ที่ 1 (สาขาสระบุรี) ที่กำลังดำเนินการทวงสวนป่าคืนจากกลุ่มนายทุนที่บุกรุกสวนป่า  โดยไม่ทราบสาเหตุ




               สำหรับพื้นที่ที่มีการขัดแย้งนายสุนันท์  อ้างว่าตนเป็นผู้ใหญ่บ้านมา กว่า 20 ปี มาตั้งแต่ พ.ศ.2523ยืนยันว่าข่าวที่ออกไปก่อนหน้าสร้างความเสียหายให้กับชาวบ้านในพื้นที่โดยอ้างว่าพื้นที่แถบนี้แต่ก่อนเป็นพื้นที่เขาหัวโล้นต่อมา มีการสร้างถนน  เมื่อพ.ศ. 2519  มีการการเพราะพันธ์กล้าไม้ พ.ศ.2521  ได้มีการปลูกป่า เมื่อปี พ.ศ.2523 กรมป่าไม้สมัยนั้นได้กันเขตพื้นที่อย่างเด่นชัดชาวบ้านรู้ดีและไม่มีการบุกรุกป่าแต่อย่างใด และสวนป่าก็ได้กันเขตพื้นที่ ระหว่างสวนป่ากับที่ทำกินของชาวบ้านอย่างเด่นชัด  โดยมีหลักฐานใบ ภบท.5 และใบเสียภาษีดอกหญ้าสำหรับพื้นที่ที่ขัดแย้งกันอ้างว่า เป็นพื้นที่ ประมาณ 2-3 ไร่ มี นายประสิทธิ์ จันทร์เขียว  ซึ่งเป็นญาติตนทำกินมาก่อน และได้อนุญาตให้กรมป่าไม้ใช้เป็นพื้นที่เพราะพันธุ์กล้าไม้ เนื่องจากอยู่ใกล้แหล่งน้ำ  อ้างว่า ต่อมาได้มีผู้อื่นมาถือครอง( แต่ไม่มีเอกสารยืนยัน )





                ด้านนายทองพูน  มหาพรหม อายุ 58 ปี บ้านเลขที่ 39 หมู่ 14 บ้านปางหัวช้าง ต.หนองย่างเสือ  คู่กรณี ยืนยันว่า บริเวณนี้ มีพื้นที่อยู่ใกล้เคียงติดกัน อยู่ประมาณ14 ไร่ เป็นของพี่สาวนายประสิทธิ์ ฯซึ่งเคยทำกินมาก่อนปัจจุบันพี่สาวนายประสิทธิ์ ได้ขายให้ผู้อื่นไปแล้วจึงไม่ได้ทำกินต่อ ส่วนพื้นที่ 2-3 ไร่ ของตนที่มีข้อขัดแย้ง โดยอ้างว่าในอดีตพื้นที่ดังกล่าว ตนเคย เลี้ยงวัวเนื้อมา ต่อมาเจ้าหน้าที่ ได้มาขอใช้พื้นที่เพราะพันธ์กล้าไม้ และก็ไม่เคยเห็นนายประสิทธ์มาท้วงติงหรือเคยทำกินมาก่อน ปัจจุบันได้ทำการเลี้ยงวัวนมอยู่หลังจากได้คืนจากการที่เจ้าหน้าที่เลิกเพราะกล้าไม้แล้วและตนมีหลักฐานการเสียภาษีดอกหญ้า และใบ ภบท.5 อย่างถูกต้องแต่อยู่ๆก็มีการนำเสนอข่าวว่ามีการบุกรุกป่าสงวนและป่าต้นน้ำออกมาโยงไปถึงหัวหน้าสวนป่า โดยไปถ่ายภาพบ้านหัวหน้าสวนป่า และจากพื้นที่ ที่อยู่ในเขต อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมาที่อยู่บริเวณใกล้กันมานำเสนอ





                  ด้าน นายแสน โพธิบางหวาย เป็นหัวหน้าสวนป่า สำนักอนุรักษ์ที่ 1(สาขาสระบุรี) หลังจากทีมงาน จาก หลายหน่วยงาน ที่เคยร่วมทวงคืนผืนป่า ที่คาดว่า ถูกพิษจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลย้าย หรือโดนเปลี่ยนหน้าที่ ไปหลายคน หลังได้บูรณางานทวงคืนมาจากกลุ่มนายทุนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงดำเนินโครงการปลูกป่าที่ทวงคืนมาได้อาจทำให้มีผู้ไม่พอใจพยายามใช้สื่อบางแขนงที่อยู่ในอาณัติ เพื่อทำลายความตั้งใจในการฟื้นฟูผืนป่าลงไปและยังคงใช้วิธีการต่างๆเพื่อทำลายความหน้าเชื่อถือ มาอย่างต่อเนื่องแม้แต่บางครั้งยังกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทำงานให้ทีมเจ้าหน้าที่ คสช. ข่มขู่เรียกรับทรัพย์สินก็มี





                   พบว่า พื้นที่กล่าวอ้าง อยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติ นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ นอกเขตสวนป่า นอกเขตอนุรักษ์ แต่เอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) และราษฎรทำกินมานานก่อนมีการปลูกสร้างสวนป่า โดยชาวบ้านเสียภาษีบำรุงท้องที่มาตลอดแต่ไม่ขอรับการออกใบ ส.ก.ป. 4-01 เนื่องจากเห็นว่ามีข้อจำกัดสิทธิ ไม่ให้มีการซื้อขาย ต้องยกให้แก่ทายาทเท่านั้น  แต่ความเป็นจริงแล้วพบว่ามีการซื้อขาย ที่ดิน ส.ป.ก. แก่นายทุนไปทำรีสอร์ท โดยการเปลี่ยนชื่อผู้ครอบสิทธิกันโดยทั่วไปทั้งประเทศ ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมาย และพบอีกว่า มีการออกใบ ส.ป.ก. ทับซ้อนกับพื้นที่อนุรักษ์ พื้นที่สวนป่า พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ที่เป็นป่าทึบ และมีความลาดชันสูง ผิดระเบียบ และข้อตกลง ระหว่างกรมป่าไม้ กับสำนักงาน ปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใดของรัฐมาดำเนินการแก่ผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ทำให้เกษตรกรผู้ยากไร้ขาดทีดินทำกินเหมือนอดีตต่อไปไม่จบสิ้น



( คนธรรมดา  ม้าตัวเดียว )

ไม่มีความคิดเห็น: